พร้อมหน้าลูกหลาน ทัวร์ย้อนอดีตสายสกุล “บุนนาค”

หากนับรวมสายสกุลเก่าแก่ที่มีความเป็นมายาวนาน จนลูกหลานต่างเป็นปลื้มในคุณงามความดีของบรรพบุรุษจนทุกวันนี้ หนึ่งในนั้นย่อมปรากฏ ตระกูลบุนนาค เป็นแน่แท้ ล่าสุด! ลูกหลานบุนนาค ก็ระดมสมอง คิดคอนเซ็ปต์เก๋ “ชมรอยศิลปกรรมสมัยราชวงศ์ซาฟาวิดของเปอร์เซียที่เหลืออยู่”

จัดกิจกรรมย้อนรำลึกความเกี่ยวข้องของบรรพบุรุษแห่งสายสกุล ผู้มีบทบาทสำคัญต่อราชสำนักในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จ.ลพบุรี เรื่อยมาจนถึงวัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร จ.สระบุรี ปฐมเหตุแห่งการเปลี่ยนศาสนาจากมุสลิมมาเป็นพุทธศาสนาของสกุลบุนนาค ที่เคยปรากฎอยู่ในพงศาวดาร

ทริปนี้ นำทีมโดย ปรียวรรณ, ภัฏฏการก์ และตวง บุนนาค โต้โผประจำทริป ระดมพลเชื้อสายสกุลบุนนาค ทั้ง บุนนาคสายสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ (สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์) และ บุนนาคสายสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติฯ ที่คนทั่วไปนิยมเรียกขานว่า.. สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย

ภัฏฏการก์ ผู้จัดการทริปคนสำคัญเล่าว่า... สายสกุลบุนนาคจะพยายามจัดกิจกรรมในลักษณะนี้ ขึ้นมาเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้ลูกหลานได้มีโอกาสเข้าชมสถานที่สำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับสายสกุล ซึ่งในครั้งแรก ทัวร์สายสกุลได้พาพี่น้องบุนนาคไปเยี่ยมชมสถานที่ที่เจ้าพระยาบวรราชนายกได้เดินทางเข้ามาจากเปอร์เซีย และตั้งถิ่นฐานในเมืองไทยเป็นครั้งแรก ณ จ.พระนครศรีอยุธยา

จวบจนปีนี้ ทัวร์สายสกุลก็ร่วมย้อนอดีตความเป็นมาของสถานที่เชิงประวัติศาสตร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับสกุลบุนนาคเช่นกัน ที่ จ. ลพบุรี และยังคงคอนเซ็ปต์เป็นการทัวร์เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวข้อง ที่บุนนาคในรุ่นหลังอาจจะไม่เคยรับรู้มาก่อน

เช่นเดียวกับ ตวง ทายาทผู้ตั้งใจสืบทอดความเป็นบุนนาคให้คงอยู่สืบไป กล่าวเสริมด้วยรอยยิ้มว่า...เร็วๆ นี้ชมรมสายสกุลบุนนาค จะจัดทำพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสายสกุล ในพื้นที่ส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา เพื่อบ่งบอกถึงการเข้ามาของมุสลิมในประเทศไทย รวมถึงหลักฐานต่างๆ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเปอร์เซีย ทั้งสถาปัตยกรรม อาหาร ภาษา เครื่องแต่งกาย ฯลฯ

ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ว่า...สิ่งเหล่านี้มีความเป็นมาและมีส่วนเกี่ยวข้องกับสายสกุลบุนนาคอย่างไร ที่สำคัญ โปรเจ็คยักษ์ครั้งนี้ คุณตวงย้ำว่า... คงต้องระดมความคิดจากพี่น้องร่วมสายสกุลกันขนานใหญ่ เพื่อให้ทุกรายละเอียดออกมาเพอร์เฟคที่สุด

�

บทความจาก : ผู้จัดการออนไลน์