ตรอกโรงภาษี
เป็นตรอกหนึ่งในเขตบางรัก เดิมเป็นที่ตั้งของ ศุลกสถานหรือกรมศุลกากรในปัจจุบัน
คนสมัยนั้นเรียกกันว่า "โรงภาษีร้อยชักสาม" เรียกสั้นๆ ว่า "โรงภาษี"
ศุลกสถานสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๓๓ โปรดให้ย้ายที่ทำการเก็บภาษีจากที่ทำการเดิมบริเวณปากคลองผดุงกรุงเกษม
มายังที่ทำการใหม่ซึ่งโปรดให้นาย ช่างชาวอิตาเลี่ยน ชื่อ กราสส์ เป็นผู้ออกแบบเป็นอาคาร
๓ ชั้นทันสมัย เจ้าพระยาภาสกรวงษ์ (พร บุนนาค) อธิบดีกรมศุลกากรคนแรกได้บัญญัติคำว่า
ศุลกากร ขึ้นใช้ และจารึกชื่ออาคารนี้ว่า ศุลกสถาน คนทั่วไปยังนิยมเรียกโรงภาษี
เช่นเดิม
พ.ศ. ๒๔๙๓ กรมศุลกากร ได้ย้ายที่ทำการไปอยู่ ณ บริเวณท่าเรือกรุงเทพฯ อาคารศุลกสถานเดิมเปลี่ยนเป็นที่ทำการกองตำรวจดับเพลิง
แต่ชื่อตรอกนั้นยังเรียกว่า ตรอกโรงภาษี
ประภาคาร รีเยนท์ไลท์เฮาส์
เนื่องจากแม่น้ำเจ้าพระยาบางตอน มีสันดอน ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือ
ผ่านปากน้ำเข้ามาค้าขายในพระนคร พวกกงสุลและพ่อค้าฝรั่งจึงขอร้องให้รัฐบาลสร้างประภาคารขึ้นที่ริมร่องสันดอน
เพื่อเรือกำปั่นจะได้แล่นเข้าแม่น้ำเจ้าพระยาได้สะดวก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้รับคำร้องขอจากพวกกงสุลในราว พ.ศ. ๒๔๐๓ โปรดเกล้าฯ ให้สั่งซื้อประภาคารจากประเทศอังกฤษ
นำมาติดตั้งที่หลังสันดอน ต่อมาประภาคารที่ซื้อนั้นโค่นล้มจมทะเลไป ทางพ่อค้าฝรั่งขอให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์
(ช่วง บุนนาค) สร้างประภาคารให้ใหม่ ท่านได้ตัดสินใจส่งเงินส่วนตัวไปให้พระยาสยามธุระพาห์
กงสุลสยาม ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ให้ซื้อประภาคารเหล็ก พร้อมทั้งโคมไฟและอุปกรณ์ต่างๆ
ส่งเข้ามายังกรุงเทพฯ ได้ตั้งประภาคารเหล็กนั้นในแม่น้ำเจ้าพระยาตรงหน้าบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
และให้คนนำก้อนหินไปถมสันดอนตรงที่จะตั้งประภาคาร เพื่อให้พื้นแน่น เริ่มก่อตั้งเมื่อปี
พ.ศ. ๒๔๑๓ แต่ ต้องรื้อทำใหม่ถึงสองครั้ง เนื่องจากพื้นทรุด ได้เปิดทำการจุดโคมไฟ
เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๔ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้จ่ายเงินส่วนตัวสร้างประภาคาร
แห่งนี้เป็นเงิน ๒๒๖ ชั่ง โดยมีเจ้า พระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค)
เสนาบดีกรมท่า เป็นผู้ควบคุมการสร้าง
เมื่อสร้างประภาคารและเปิดบริการแล้ว กรมท่าได้เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมจากเรือบรรทุกสินค้าที่มาจากต่างประเทศที่มีระวางขับน้ำตั้งแต่
๕๐ ตันขึ้นไป และเรือบรรทุกสินค้าจากกรุงเทพฯ ไปประเทศอื่นๆ ทั้งขาเข้าและขาออก
ในอัตราตันละ ๓ เซนต์สิงคโปร์ พวกฝรั่งตั้งชื่อประภาคารแห่งนี้ว่า รีเยนท์ไลท์เฮาส์
หมายถึงประภาคารของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
โรงเรียนหลวง
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เมื่อครั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินมีความเห็นว่ารัฐบาลควรทำหน้าที่ให้การศึกษาแก่ประชาชน
ไม่ใช่ให้วัดเป็นสถานที่ศึกษาแต่แห่งเดียว (สมัยนั้นคณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสจัดตั้งโรงเรียนอยู่ในวัดและสอนทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส)
ควรจะเปิดสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนด้วย จึงให้จ้างชาวอเมริกันชื่อนาย แพตเตอร์ซัน
มาเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนที่ท่านตั้งขึ้นในวังหลวงริมประตูวิเศษไชยศรี สถานที่แบ่งเป็นสองแผนก
แผนกหนึ่งอยู่ทางขวาของถนนเข้าวังชั้นกลาง สอนภาษาไทยและเลข อีกแผนกหนึ่งอยู่ทางซ้ายสอนภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส
นักเรียนส่วนใหญ่เป็นบุตรธิดาเจ้านายและข้าราชการผู้ใหญ่
นักเรียนที่เรียนในชั้นภาษาไทย มีหนังสือเรียนภาษาไทยสองเล่ม พิมพ์ที่โรงพิมพ์หลวงซึ่งตั้งอยู่ในวัง
เล่มหนึ่งเป็นหนังสือสอนอ่านให้ถูกอักขระวิธี ชื่อหนังสือ มูลบทบรรพกิจ (พิมพ์ครั้งแรก
พ.ศ. ๒๔๑๔) แต่งโดยพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) อีกเล่มหนึ่งเป็นแบบสอนเลข
ซึ่งยังใช้สูตรคูณเป็นภาษาบาลี เช่น สูตรคูณแม่นพ (แม่ ๙) ท่องว่า "นพเอกานพ
๙ นพโทอัษฎาทัศ ๑๘ นพตรีสัพตาพิศ ๒๗" อย่างนี้เป็นต้น
ส่วนการสอนภาษาต่างประเทศนั้น มีครูสอนทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส แต่มีผู้เข้าศึกษาน้อย
เพราะยังไม่เห็นประโยชน์ในการเรียน บางคนจึงลาออกไป ปี พ.ศ. ๒๔๑๗ มีนักเรียนในแผนกนี้เหลือเพียงสามคน
ต่อมารัฐบาลได้ตั้งโรงเรียนหลวงภายนอกวัง เป็นโรงเรียนแห่งแรกที่รัฐบาลตั้งขึ้นเพื่อให้การศึกษาแก่ประชาชน
เรียกว่าโรงสกูลหลวง ซี่งได้มีการปรับปรุงขยายหลักสูตร ต่อมาได้มีการสร้างโรงเรียนขึ้นภายในวัด
ต่างๆ ซึ่งมีที่ดินกว้างขวางพอจะตั้งโรงเรียนได้และประหยัดเงินอีกด้วย
|