พระนครคีรี

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๑ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้จัดการทูลเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ พระราชาคณะที่เป็นพระราชวงศ์ เสนาบดีผู้ใหญ่ รวม ๒๐ ท่าน เข้าร่วมประชุมปรึกษาหารือที่จะทูลเชิญพระองค์ใด ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เนื่องจากพระเจ้าอยู่หัวมิได้แต่งตั้งรัชทายาท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์ พระอนุชาในรัชกาลที่ ๔ ผู้ทรงอาวุโส ได้ตรัสว่า เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ แต่เนื่องยังทรงพระเยาว์อยู่ (ขณะนั้น ๑๕ พรรษา) จะทรงปกครองบ้านเมืองไม่ได้ ที่ประชุมเห็นว่า ควรมีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินบริหารประเทศไปพลางก่อน จนกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงบรรลุนิติภาวะ ดังนั้นที่ประชุมจึงลงมติเป็นเอกฉันท์ แต่งตั้งให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) กล่าวในที่ประชุมว่า

จะรับสนองพระเดชพระคุณอย่างเต็มความสามารถแต่การพระราชพิธีต่างๆ ท่านไม่สู้จะเข้าใจ ขอให้สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมขุนบำราบปรปักษ์ช่วยว่าราชการในพระราชสำนักฝ่ายหน้า สมเด็จกรมพระสุดารัตนราชประยูร ว่าราชการในพระราชสำนักฝ่ายใน การว่าราชการทุกครั้งจะมีเสนาบดี และข้าราชการผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ เป็นที่ปรึกษาพิเศษ และขอให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิทซึ่งเป็นพระบรมวงศาชั้นผู้ใหญ่ ประทับเป็นที่ปรึกษาของท่านทุกครั้งด้วย

กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ยังตรัสต่อไปอีกว่า ทุกๆ คนก็ยังระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ (สวรรคตปี พ.ศ. ๒๔๐๘) ฉะนั้นการจะเชิญเสด็จพระโอรสองค์ใหญ่ พระองค์เจ้าชายยอดยิ่งยศ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช (วังหน้า) เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ได้ถามความเห็นที่ประชุม ทุกๆ พระองค์และทุกคนเห็นด้วยเว้นแต่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนวรจักรฯ ไม่ทรงเห็นด้วยตรัสว่า แต่ก่อนพระเจ้าแผ่นดินเคยทรงเลือกและทรงตั้งวังหน้าด้วยพระองค์เอง ปรากฏว่าเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ยืนยันจะให้พระโอรสสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ได้เป็นวังหน้า และที่ประชุมส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นักประวัติศาสตร์ไทยถกกันมาบ่อยครั้ง รวมถึงการทรงอำนาจของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ

ถนนเจริญกรุง

อย่างไรก็ตามในช่วงสมัยที่เป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ได้มีผลงานสำคัญคือ ตรากฎหมายลดอัตราดอกเบี้ย พ.ศ. ๒๔๑๑ จากเดิม ซึ่งคิดเป็นร้อยละ ๓๐ - ๔๐ หรือร้อยละ ๕๐ - ๖๐ ต่อปี ลดลงเหลือไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญที่ช่วยสกัดกั้นมิให้คนต้องกลายเป็นทาส และมีการออกกฎหมายพยาน พ.ศ. ๒๔๑๓ เพื่อป้องกันมิให้ถ่วงคดี เป็นต้น นอกจากนี้ได้มีการขุดคลองเปรมประชากร ขยายเขตกำแพงเมืองใหม่ สร้างตึกแถว และตลาดท่าเตียน ตัดถนนเฟื่องนคร เริ่มมีการใช้รถม้า จัดตั้งระบบศาล และระบบกงสุลต่างประเทศ รวมทั้งจัดตั้งระบบโรงเรียน สมัยใหม่ขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวัง ได้มีการจ้างชาวต่างประเทศเข้ารับราชการเป็นเจ้าพนักงานของรัฐบาลไทยหลายคน


โคมไฟที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง)
ทูลเกล้าฯ ถวาย ให้ติดตั้ง
ในท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรมหาปราสาท

ปี พ.ศ. ๒๔๑๖ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบรรลุนิติภาวะ ในเวลานั้นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์มีอายุได้ ๖๔ ปีเศษ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ นับว่าเป็น "สมเด็จเจ้าพระยา" คนสุดท้ายในประวัติศาสตร์ของไทย สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในราชการแผ่นดิน ทั้งในพระนครและทั่วพระราชอาณาจักร มีอำนาจเต็มที่ถึงขั้นสั่งประหารชีวิตผู้กระทำความผิดขั้นอุกฤษฎ์ได้ จะเห็นจากสำเนาประกาศที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ท่านเป็นสมเด็จเจ้าพระยาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๖ ที่สำคัญคือ

"เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์... ได้รับราชการฉลองพระเดชพระคุณในแผ่นดินแต่ในรัชกาลที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ มาช้านาน ได้มีคุณูปการในภารกิจใหญ่น้อยเป็น อันมาก ได้ทนุบำรุงพระราชอาณาจักรสยาม อุดหนุนกระแสพระราชดำริ มิให้เพลี่ยงพล้ำต่ออริราชดัสกรภายในภายนอก พวกที่คิดจะเบียดเบียนกรุงเทพมหานคร โดยอำนาจให้เสื่อมถอยน้อยกำลังสงบไปได้โดยยุติธรรม และจัดการแผ่นดินให้ผาสุกเป็นปรกติเรียบร้อยดี มิได้มีวิหิงษา อุปัทวาการอันใดอันหนึ่ง ครั้นถึงในรัชกาลปัจจุบันนี้ ได้รับตำแหน่งที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ฉลองพระเดช พระคุณโดยอัธยาศัยเที่ยงธรรมซื่อตรง มิได้เห็นแลเกรงแก่ผู้ใด จะกล่าวตัดสินการใดจะให้เป็นคุณประโยชน์ทั่วกัน และเป็นแบบอย่างต่อไปภายหน้าสิ้นกาลนาน... ดำรงอยู่ในธรรมสัตย์สุจริตหาผู้เสมอมิได้ สมควรจะเป็นผู้รับบรมราชอิสริยยศ... จึงมีพระบรมราชโองการเลื่อนขึ้นเป็น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหา ศรีสุริยวงศ์... บรรดาศักดิ์ ๓๐๐๐๐ ยิ่งกว่าจตุสดมภ์มนตรี ๓ เท่า ดำรงตรามหาสุริยมณฑล ได้บังคับบัญชาสิทธิ์ ขาดราชการแผ่นดินในกรุงนอกกรุง ทั่วพระราช อาณาจักร..."


พัดรองที่ระลึกในการเมรุ
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหา ศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
นมพัดด้านหน้าเป็นรูปบุคคล ซึ่งน่าจะเป็น
สัญญลักษณ์แทนรูปพระอาทิตย์ ด้านหลังเป็นตราราชสีห์


ดารามหาสุริยมณฑล


1 | 2 | 3 | 4 | 5

 


สายเจ้าคุณพระราชพันธุ์นวล
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30
31 | 32 | 33 | 34 | 35 | 36 | 37 | 38 | 39 | 40 | 41 | 42 | 43 | 44 | 45 | 46 | 47 | 48 | 49 | 50 | 51 | 52 | 53 | 54 | 55 | 56
57 | 58 | 59 | 60 | 61 | 62 | 63 | 64 | 65 | 66 | 67 | 68 | 69 | 70 | 71 | 72 | 73 | 74 | 75 | 76 | 77 | 78 | 79 | 80 | 81 | 82
83 | 84 | 85 | 86 | 87 | 88 | 89 | 90 | 91 | 92 | 93 | 94 | 95 | 96 | 97 | 98 | 99 | 100 | 101 | 102 | 103 | 104 | 105 | 106
107 | 108 | 109 | 110 | 111 | 112 | 113 | 114 | 115

Copyright © 2005 Bunnag.in.th All rights reserved.