(2) ๖:ด:2:6:1 บุตรนายฉ่า 
                บุนนาค มารดาชื่อ ทองสุก เกิด พ.ศ. ๒๔๓๘ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 
                ๙ คน มีน้องสาวชื่อ ชิ้ม (เกิด พ.ศ. ๒๔๔๐) เป็นภรรยาพระดุลยกรณ์พิทารณ์ 
                (เชิด บุนนาค) น้องชายชื่อ ชิวห์ เป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๖ และนายเฉียบ 
                บุนนาค (เกิด พ.ศ. ๒๔๕๐) เป็นข้าราชการ กรมรถไฟ 
                
เมื่อยังเยาว์ คุณหญิงไกรเพชรรัตนสงคราม (ฟอง บุนนาค) ผู้เป็นย่า 
                  ได้นำตัวเข้าถวายเป็นมหาดเล็ก ในรัชกาลที่ ๖ ได้ศึกษาในโรงเรียนมหาดเล็กหลวง 
                  เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้ ตั้งกองลูกเสือขึ้นเป็นครั้งแรก เริ่มที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง 
                  เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ อาจารย์ใหญ่ได้นำนายชัพน์ บุนนาค ซึ่งแต่งเครื่องแบบลูกเสือ 
                  ใหม่ ไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน 
                  ทรงโปรดฯ ให้นายชัพน์กล่าวคำปฏิญาณของลูกเสือ ๓ ข้อ ถวายต่อพระพักตร์ 
                  และรับสั่งว่า ในนามของข้า ผู้ให้กำเนิดลูกเสือ 
                  ข้ารับเจ้าเป็นลูกเสือไทยคนแรก ตั้งแต่บัดนี้ไป 
                เหตุการณ์นี้นับว่าเป็นเกียรติประวัติของนายชัพน์และพี่น้อง ในตระกูลบุนนาคที่รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุด 
                  บรรดาเพื่อนทั้งหลายก็พลอยตื่นเต้นด้วย เพราะขณะนั้นทั้งโรงเรียนหรือจะกล่าวทั้งประเทศไทย 
                  ก็ยังไม่มีใครได้แต่งเครื่องแบบลูกเสือเช่นนี้ คงมีแต่นายชัพน์เพียงคนเดียวเท่านั้น
                หลังจากสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมบริบูรณ์แล้ว นายชัพน์ได้เข้ารับราชการในกรมมหาดเล็ก 
                  แผนกตั้งเครื่อง มียศเป็นมหาดเล็กวิเศษ พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นนายรองพลพ่าย 
                  มหาดเล็กเวรสิทธิ์ ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้ไปประจำกรมราชเลขานุการในพระองค์ 
                  ตำแหน่งหุ้มแพรวิเศษ นายเวรอาลักษณ์ และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น 
                  นายลิขิตสารสนอง 
                เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทดลองวิธีการปกครองแบบประชาธิปไตยและสร้างดุสิตธานีขึ้น 
                  โปรดเกล้าฯ ให้นายลิขิตสารสนอง (ชัพน์ บุนนาค) เป็นนคราภิบาลของดุสิตธานี 
                  ซึ่งตำแหน่งนี้น้อยคนมักที่จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณ 
                ต่อมาทรงมีพระราชดำริให้คนไทยได้มีนามสกุล ได้คิดนามสกุลพระราชทานกว่า 
                  ๖๐๐๐ นามสกุลในขั้นต้น ได้ทรงเขียนบัตรนามสกุลพระราชทานนั้นเป็นลายพระหัตถ์ 
                  แต่เมื่อมากรายเข้า ได้ทรงมอบหมายให้มหาดเล็กใน กรมราชเลขาธิการเป็นผู้เขียน 
                  ทูลเกล้าฯ ถวายขึ้นไปเพื่อลงพระปรมาภิไธย โปรดเกล้าฯ ให้นายลิขิตสารสนอง 
                  เป็นหนึ่งในสามคนที่ได้ฉลองพระเดชพระคุณในการนี้